วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขอบคุณน้องน้ำ : โดย...สุจินต์ จันทร์นวล

            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่าระบบการปล่อยน้ำจากเขื่อนทั้งหลายนั้น  มีหลักการอย่างไร  ในกรณีไม่ว่าน้ำจะเต็มเขื่อนหรือไม่เต็มเขื่อน   และใครคือคนที่บริหารจัดการเรื่องการระบายน้ำของเขื่อน  การไฟฟ้าฝ่ายผลิต  หรือกรมชลประทาน  หรือกระทรวงเกษตร  หรือนักการเมืองกันแน่
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลัง  ตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำมันท่วม  แต่ก็ยังทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้  ซ่อนความคิดชั่วช้าเห็นแก่ตัว  อยู่เบื้องหลังใบหน้าอันเหี่ยวย่น
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่าความคิดและวิธีการในการป้องกันน้ำท่วมของประเทศไทย  คือการวางกระสอบทรายกั้น  โดยไม่เคยคิดเรื่องความแรงและกำลังอัดของน้ำ   คิดแต่จะต้าน  คิดแต่จะสู้  โดยไม่ได้มีความรู้เรื่องศัตรูเลย
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่าสติปัญญา  ของนักการเมืองและข้าราชการไทย  ถูกจำกัดแค่อยู่ในกรอบและวงของตนเอง  แต่คิดว่าตัวเองเก่งเกินใคร  ไม่สนใจและมองข้าม  คนที่มีความรู้และประสบการณ์โดยตรง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  ระบบและกลไกการทำงานของรัฐบาล  กับการบริหารท้องถิ่น  มันไปคนละทิศคนละทาง แถมยังคิดทีละเรื่อง  ไม่มีการวางแผนทั้งหมด  หรือประมานว่า  ถนัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปวันๆ  มากกว่าการคิดวางแผนจัดการตั้งแต่ต้นจนจบ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  คนนั่นเองคือต้นตอต้นเหตุ  คนชั่วๆที่มาเป็นนักการเมือง  มามีอำนาจในการบริหารประเทศ  มาจากความทะเยอทะยาน  ที่มีความละโมบเป็นแรงผลักดัน  มีความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นพลังงาน  และความอำหิตในจิตใจเป็นเครื่องชี้ทาง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  ทำไมประเทศไทยที่บริหารกันโดยนักการเมืองชั่วๆพวกนี้  ไม่เคยพยายามผลักดันเรื่องการศึกษาของชาติให้ดีไปกว่าเดิม  ไม่พยายามที่จะให้คนระดับล่างได้มีความรู้สูงๆ  เนื่องจากกลัวว่าหากประชาชนมีความรู้มาก  ก็จะรู้ทัน  ไม่สามารถจะชักจูงและหลอกล่อให้เชื่อถือได้   โกหกลำบาก  และจะไม่สามารถทำมาหากินบนภาษีอากร  เงินก้อนใหญ่ที่สุดของประเทศ  ที่เบียดบังเอาเป็นของตัวเองได้ไม่ยาก  ขอแค่มีตำแหน่งแห่งหนในซีกรัฐบาลได้เมื่อไหร่  ใครก็หยิบเงินนั้นมาเข้ากระเป๋าตัวเอง  เข้ากระเป๋าพรรคได้พวกได้  เพียงแค่พูดสร้างภาพหน่อยเดียว  พวกความรู้น้อยก็จะเชื่อ  ป้ายความผิดทุกอย่างที่จะมีให้คนอื่นได้
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่าคนระยำพวกนี้  ไม่เคยคิดถึงความผิดชอบชั่วดี  ไร้ยางอาย  ไม่เกรงบาปกรรมใดๆ  เอาของบริจาคไปเบียดบังใส่ชื่อตัวเอง  ใส่ชื่อคนๆที่รักและชื่นชมเสมือนพ่อ  ซึ่งไม่เคยรู้จักแม้ชื่อแม่ของตัวเองด้วยซ้ำ  เพื่อเอามาหลอกชาวบ้านให้เชื่อ  ว่าคนๆนี้ส่งมาให้
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  เงินทองสิ่งของที่คนไทยด้วยกัน  บริจาคให้เพื่อนพี่น้องร่วมชาติ  ที่ประสบความทุกข์ยาก  ให้แก่รัฐบาลนั้น  มันถูกเอาไปสร้างคะแนนนิยม  บิดเบือนเจตนารมณ์ของคนบริจาค  โดยนักการเมืองสีแดง  พอทำได้ไม่ราบรื่น  ก็ปล่อยให้เสียเปล่าลอยน้ำทิ้ง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  แค่ของบริจาคที่ต่างชาติส่งมาช่วย  ก็บริหารไม่เป็นแล้ว  ที่จะให้เกิดประโยชน์  ให้ไปถึงมือประชาชน  แต่ดันกลับถูกเก็บไว้แบบไม่แยแส  ปล่อยให้ชาวบ้านลำบาก  แล้วดีแต่พูดๆสร้างภาพ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  ขนาดเฮดควอเตอร์ของ ศปภ เอง  ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำจะท่วมจนต้องย้ายหนี  แปลว่าไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ทำเลย  มันบ่งบอกว่าปัญญามีน้อยสักเพียงใด
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  คนที่มานั่งบริหารประเทศทั้งประเทศ  ใช้คนไม่เป็น  ดูจากเอาอดีตตำรวจมาแก้ปัญหาเรื่องน้ำ  เอาใครต่อใคร  มาทำหน้าที่ผิดเรื่อง ผิดทางทั้งนั้น  แม้แต่นายกฯเองก็ยังอ่านผิดอ่านถูก  พูดผิดพูดถูก ไม่ว่าจะตามโผหรือนอกโผ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม  ก็คงไม่รู้ว่า  พอประชาชนเดือกร้อน  พวกองค์การบริหารท้องถิ่นหายไปไหนกันหมด  เงินทองที่มี  ทำไมไม่เอามาช่วยประชาชนในถิ่นของตนเอง  กลับขอจากส่วนกลาง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า คนสร้างนิคมอุตสาหกรรมทั้งหลายไม่ได้คิดเรื่องน้ำเอาไว้เลย ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้ง และระบบป้องกัน ระบบระบายน้ำ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้จักเส้นทางถนน และคูคลองต่างๆได้มากขนาดนี้
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า ไม่มีใครจะรู้เรื่องน้ำดีลึกซึ้งเท่าพระเจ้าอยู่หัวเลย  ว่าท่านได้วางแผนบริหารจัดการไว้เป็นสิบๆปีมาแล้ว ในการแก้ปัญหาไม่ให้น้ำ ท่วมในแต่ละจังหวัดอย่างไร ไม่ใช่เพียงแค่กรุงเทพฯ แต่ไม่เคยมีรัฐบาลไหน นำแผนงานในพระราชดำริห์ไปจัดการให้เป็นความจริง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นสนามบินดอนเมือง กลายเป็นสนามบินน้ำ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็น  ถนนหลายสายกลายเป็นคลอง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นสิ่งของประดิษฐ์ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ใช้แทนพาหะนะลอยน้ำได้  รวมทั้งวิธีเอาตัวรอดและใช้ชีวิตอยู่กับน้ำได้ ของชาวบ้านแต่ละท้องถิ่น
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นภาพทางด่วน ทางยกระดับ สะพานข้าม แม้แต่โทลเวย์ มีรถจอดตามข้างทางเต็มไปหมด โดยไม่ผิดกฎหมาย
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นหน้าตา คนที่ฉกฉวยโอกาสขูดรีดคนที่เดือดร้อน ในรูปแบบต่างๆ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลนั้น อยู่ในระดับอนุบาลโดยแท้ เพราะไม่สามารถสื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ เพราะข้อมูลมันฟังแล้วไม่เข้าใจ  แถมพูดกันไปคนละทางอีกต่างหาก  คนที่คุณแม่ช่างพูดก็มีอยู่เยอะเสียอีก ทำให้ประชาชนต้องพยายามหาสื่อด้านอื่นๆ มาพิจารณาเอาเอง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่านักการเมืองท้องถิ่นนั้น ที่จริงมีสติปัญญาแค่ ไหน มีปากใหญ่กว่าสมองมากมายยังไง บางคนก็ต้องเย็บให้เล็กลง
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่าทีวีช่องไหน มีความสามารถในการเล่นกับข่าวน้ำ ท่วม จนทำให้คนดูตื่นตระหนก ได้มากกว่ากัน เสร็จแล้วก็ทำการตลาด ทำโซเชียลรีเลชั่นแมนเนจเมนท์ ด้วยการเป็นผู้รับบริจาค และเอาไปแจกจ่ายประชาชน  สร้างมีเดียไปด้วยตลอดทาง ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ลืมที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเอง ขึ้นมาแบบเนียนๆ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า มีเดีย ทางจอโทรทัศน์ เป็นสื่อที่มีอิทธิพลที่สุด เพราะสามารถทำให้คนกรุงเทพฯแตก ตื่น กักตุนสินค้าอาหารและน้ำดื่มกันจนขาดตลาดได้ ซึ่งเท่ากับการที่ใครสามารถใช้ มีเดียเป็นเครื่องมือได้ ก็เท่ากับเป็นคนที่น่ากลัวมาก มีเดียเป็นอาวุธสองคมที่มีอันตราย
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า ไม่ใช่แค่คนเท่านั้นที่เดือดร้อน สัตว์เองก็ลำบากไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไม่ได้เลี้ยง รวมทั้งได้เห็นคนที่รักเมตาสัตว์จริง กับคนที่สักแต่เลี้ยงอย่างเดียว  ดูแลสัตว์ต่างกันอย่างไร
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า ในน้ำนั้นมันมากับขยะ กับของเสียจากคนจากสัตว์  จากท่อระบายน้ำ สะสมกันมาตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง มันเน่าสกปรกสักแค่ไหน
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า การจัดเก็บขยะทำไม่ได้ เพราะรถเก็บขยะลุยน้ำเข้าไปไม่ถึง และกทม.ไม่ได้จ้าง เหมาให้เอกชนเก็บขยะ โดยการใช้เรือไว้ก่อน ขยะจึงเต็มบ้านเต็มเมืองพอๆกับน้ำ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่ได้เรียนรู้ลึกๆ ถึงจิตใจคนรอบๆตัวเรา ว่าใครคิดอย่างไร มีนิสัยที่แท้จริงอย่างไร เมื่อยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติของชีวิต
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่ได้รับรู้ว่า ใครคือคนที่มีจิตใจเสียสละ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่ได้คิดถึงอามิสสินจ้างแต่ประการใด ทำด้วยใจจริงๆ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่าคนแก่ในบ้าน มีจิตใจมั่นคงเหมือนๆกันหมด ไม่นึกกลัวน้ำท่วมเหมือนผู้อ่อนวัยกว่า ในขณะที่ผู้อ่อนวัยกว่าตื่น ตระหนก และคิดแต่จะพาคนแก่หนีน้ำท่าเดียว ไม่ห่วงสมบัติพัสถาน เนื่องจากคิดว่าหาใหม่ได้ เพราะตัวเองยังมีเวลาหาราย ได้อีกมา ในขณะที่คนแก่รู้ว่า  เวลาของตัวเองมีน้อยลง และหารายได้ไม่ได้อีกแล้ว
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่ฟังข่าว ดูข่าว อ่านข่าว กันมากมายขนาดนี้
            ถ้าน้ำไม่ท่วม คนกรุงเทพฯคงไม่ออกไปต่างจังหวัด พร้อมๆกันมากขนาดนี้  ทั้งๆที่ไม่ใช่วันหยุดยาวหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์แต่อย่างใด
            ถ้าน้ำไม่ท่วม จังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯ คงไม่มีช่วงที่ค้าขายได้เป็นกอบเป็นกำมากขนาดนี้ เพราะคนกรุงเทพฯอพยพไปอยู่ กันมากมาย ไปแย่งกันกิน แย่งกันอยู่
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า ฟลัดเวย์อยู่ตรงไหน และหากทำให้มันเป็นทางผ่านน้ำไม่ได้ ปีหน้าน้ำก็คงท่วม อีก เพราะนักการเมืองคงทะเลาะกันตามเคย จนไม่มีใครลงมือจัดการทำ เมื่อหน้าฝนปีหน้ามาถึง มรสุมเข้ามาอีก ตามธรรมชาติของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น้ำทะเลหนุนสูงในช่วงนั้น น้ำก็มาอีก ท่วมอีก
            ถ้าน้ำไม่ท่วม คงไม่มีใครคิดจะล้างท่อระบายน้ำทั้งเมืองในครั้งเดียวกัน และสอนให้คนรู้ว่าน้ำมาจากท่อระบายน้ำเข้าถึงทุกที่ ปิดบนก็ลงล่างได้สะบายๆ
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นว่า กฎหมู่ยังไงก็เหนือกฎหมาย ชาวบ้านหยิบมือ ก็สามารถกดดันรัฐบาลได้ ว่าให้ปิดหรือเปิดประตูน้ำ ให้กั้นหรือให้รื้อกำแพง ถ้าไม่ทำจะเข้าทำลายหรือปิดถนน
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่เห็นนักการเมืองที่มาจากอันธพาล สามารถทำในสิ่งที่ตรง กันข้ามกับคำสั่งนายกฯ ได้ โดยนายกฯ ไม่กล้าหือ ต้องไปยืมมือผู้ว่ากรุงเทพฯ ช่วยจัดการแทน
            ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงไม่รู้ว่า ทหารของในหลวง เป็นที่พึ่งให้ประชาชนอย่างแท้จริง ทหารทุกคนได้ใจของพวกเรา ไปหมดแล้ว เราอยากให้ช่วยต่อไปอีกเรื่อง หลังจากน้ำลด เอาไว้ค่อยบอกนะ
 ถ้า น้ำไม่ท่วม ก็คงยังจับโกหกไม่ได้ สำหรับคำโกหก ที่หลอกไว้ตอนหาเสียง ก็คงรับรู้กันชัดเจนว่าโกหก ได้รู้เช่นเห็นชาติแล้ว จะยังเชื่อต่อไปก็เชิญ ถึงแม้พวกเราจะรังเกียจเธอมาก เพราะเธอนอกจากไม่สวยแล้ว กลิ่นกายเธอยังเหม็นมาก เชื้อโรคเต็มไปหมด รีบไปหาหมอเสียนะ ไม่ได้ยินดีต้อนรับเลยสักนิด แต่เธอก็ หน้าด้านมาเยี่ยมเยียนพวกเราจนได้ มารยาททรามนะ แต่เราก็ให้อภัย เพราะไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นของคนที่เน่าเหม็นและน่ารังเกียจกว่าเธออีก อยู่เบื้องหลัง
            ขอบคุณน้องน้ำเน่า ที่ทำให้พวกเราตาสว่าง ได้รับรู้ รับเห็นอะไรมากมาย ระหว่างที่เธอมา
 ขอ ให้ไปดีมีสุข กลับสู่ที่ๆ เธอควรจะไป และหากเธอจะพาใครในรัฐบาลไปด้วยได้ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ปี หน้าฟ้าใหม่ หายเน่าแล้ว ค่อยมาคุยกันอีกที นะ น้องน้ำ
-------------------
(สนามเรื่องสั้น-สั้น : ขอบคุณน้องน้ำ : โดย...สุจินต์ จันทร์นวล) คม ชัด ลึก 1 มกราคม 2555

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รายชื่อหมอเฉพาะทางที่เก่งที่สุดในประเทศไทย


เป็นระดับ อ.แพทย์อีกที บางครั้งเข้าอาจไม่ได้ประจำอยู่ที่ รพ.แล้วก็ได้นะครับ โดยมากมักจะไปๆมาๆ หลาย รพ. ลองเช็คกับทาง รพ.ดูนะครับ

ประสาททางยา
1. ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ (รามา)
2. ศ.น.พ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ (ศิริราช)
3. ศ.น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (จุฬา)
4. น.พ.ยรรยงค์ ทองเจริญ (กรุงเทพฯ)

เด็ก
1. น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา (รามา)
2. พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา (ศิริราช)
3. พ.ญ.จาดศรี ประจวบเหมาะ (กรุงเทพฯ)
4. น.พ.วิโรจน์ สืบหลิววงศ์ (จุฬา)

สูติกรรม
1. ศ.น.พ.สมหมาย ถุงสุวรรณ์ (ศิริราช)
2. น.พ.ประมวล วีรุตเสน (จุฬา)
3. น.พ.ไพจิตร เจริญขวัญ (ราชวิถี)
4. น.พ.กำแหง จาตุรจินดา (รามา)

หู คอ จมูก
1. น.พ.ประพจน์ คล่องสู้ศึก(วิชัยยุทธ)
2. น.พ.ศัลยเวช เลขะณุก (สหการแพทย์)
3. น.พ.คณิต มันตาภรณ์ (รามา)
4. น.พ.ประธาน สูตะบุตร (กรุงเทพฯ)
5. พ.ญ.สุจิตรา ประสานสุข (ศิริราช)

หัวใจและหลอดเลือด
1. น.พ.ศุภชัย ไชธีรพันธุ์ (ศิริราช)
2. พ.ญ.พึ่งใจ งามอุโฆษ (จุฬา)
3. น.พ.นิธิ มหานน (ศิริราช)

ปอด
1. น.พ.ยศวี สุขมาลจันทร์ (กรุงเทพฯ)
2. น.พ.อรรถ นานา (ศิริราช)
3. น.พ.ประกิจ วาทีสาถกิจ (รามา)
4. น.พ.ประสิทธิ์ กีรติกานน (สมิติเวช)

กระดูก
1. น.พ.เจริญ โชติกวณิชย์ (ศิริราช)
2. น.พ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ (ภูมิพล)
3. น.พ.ชายธวัช งามอุโฆษ (จุฬา)
4. พลตรีสุปรียา โมคขเวช (พระมงกุฏ)

ไต
1. น.พ.วิศิษฐ์ สิตปรีชา (จุฬา)
2. น.พ.สง่า นิลวรางกุล (ศิริราช)
3. พ.ญ.อุ ษณา ลุวีระ (พระมงกุฎ)
4. น.พ.สุ ชาติ อินทรประสิทธิ์ (รามา)

ตา
1. น.พ.ธนัญชัย อติแพทย์ (รามา)
2. น.พ.สมอรรถ พัฒนกำจร (มงกุฎ)
3. น.พ.ประจักษ์ ประจักชเวช (จุฬา)
4. พ.ญ.โสมสราญ วัฒนโชติ (กรุงเทพฯ)

ผิวหนัง
1. พ.ญ.ปรียา กุลลวณิชย์ (แจ่มจันทร์)
2. พ.อ.น.พ.กฤษฎา ดวงอุไร (พระมงกุฏ)
3. พ.ญ.เพ็ญวดี ทิมพัฒนพงษ์ (รามา)
4. พ.ญ. พิมลวรรณ กฤติกรังสรรค์ (สถาบันโรคผิวหนัง)

ผ่าตัดทั่วไป
1. น.พ.เพรา นิวาตวงศ์ (พร้อมมิตร)
2. น.พ.เอาชัย กาญจนพิทักษ์ (รามา)
3. น.พ.กฤษณ์ จาฏมระ (จุฬา)
4. น.พ.ณรงค์ เลิศอักรมณี (ศิริราช)

ทางเดินอาหาร
1. ศ.น.พ.สุขา คุระทอง (รามา)
2. ร.ศ.น.พ.พินิจ กุลลวณิชย์ (จุฬา)
3. ศ.น.พ.สั จจพันธ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา (จุฬา)
4. น.พ. เกรียงไกร อัครวงศ์ (สมิติเวช) ***เสียชีวิตแล้ว

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การใช้ประโยชน์จากโปรแกรมจำลองแผ่น กรณีสื่อสำเร็จรูป

การเรียนรู้ผ่านสื่อสำเร็จรูป ที่อยู่ในแผ่น CD มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย แต่การสำเนาหรือก๊อบปี้ลงแผ่น ก็มีข้อเสียตรงที่แผ่นที่ได้มักชำรุดได้ง่าย ทั้งส่งผลต่อเครื่องอ่าน (cd-rom driver) ทำให้อายุใช้งานสั้นลงด้วย
วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายมาก ยิ่งคนที่ชอบเล่นเกมก็จะรู้จักกันดีอยู่แล้ว โดยการคัดลอกCD ต้นฉบับ ไว้ในรูปไฟล์ images ด้วยโปรแกรมนีโร จะได้ไฟล์สกุล *.nrg จากนั้นก็ใช้โปรแกรมจำลองแผ่นเปิดไฟล์นั้น เช่น โปรแกรมDaemon lite  แค่นั้นเอง
คราวนี้มาดูรายละเอียดกันบ้าง
1. คัดลอกCD ต้นฉบับ ไว้ในรูปไฟล์ images ด้วยโปรแกรมนีโร

การสร้างอิมเมจไฟล์ด้วยโปรแกรม Nero Burning Rom

การสร้างอิมเม จไฟล์ ก็คือ การจำลองแผ่นซีดีมาเป็นไฟล์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อเราเอาอิมเมจไฟล์ตัวนี้ไปเขียนใส่ซีดี ซีดีทุกแผ่นจะมีโครงสร้างเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนไฟล์, ชื่อแผ่นดิสต์ รวมทั้งข้อมูลที่เก็บอยู่ในแผ่นซีดี

ข้อดีของการสร้างอิมเมจไฟล์

การก๊อปปี้แผ่นซีดีนั้น ถ้าเราทำการก๊อปปี้เพียงแค่แผ่นเดียวก็จะไม่เห็นถึงความแตกต่างในการทำอิมเม จไฟล์ แต่ถ้าหากเราก๊อปปี้ มากกว่า 1 แผ่น การทำอิมเมจไฟล์เก็บไว้ในเครื่องย่อมดีกว่า เพราะเราไม่ต้องเวลาอ่านแผ่นต้นฉบับใหม่อีกครั้ง เมื่อเราต้องการ เขียนซีดีแผ่นที่ 2, แผ่นที่ 3 ก็แค่เปิดอิมเมจไฟล์แล้วก็จัดการเขียนใส่แผ่นซีดีได้เลย
อีกกรณีที่นิยมทำอิมเมจไฟล์ก็คือ ต้องการเอามาสร้างเป็น ไดร์ฟเสมือน (Virtual Drive หรือ Image Drive) ด้วยโปรแกรม Nero ImageDrive เช่น เกมส์ที่ต้องใส่แผ่นซีดีในเครื่องตลอดเวลาที่เล่น ซึ่งเมื่อเราสร้างเป็นไดร์ฟเสมือนแล้ว เราก็กำหนดให้เกมส์ไปอ่านข้อมูลที่ไดร์ฟเสมือนแทน ทำให้เราไม่ต้องใส่แผ่นในขณะเล่นเกมส์ ทำให้ลดการสึกหรอของหัวอ่านเครื่องเล่นซีดี และแผ่นซีดีด้วย ทั้งยังทำงานได้เร็วกว่าการใช้แผ่นจริงๆ ซะอีก

เริ่มต้นสร้างอิมเมจไฟล์

ใส่แผ่นซีดีเข้าไปในเครื่องเขียนซีดีก่อนเปิดโปรแกรม Nero (จะใส่หลังจากเปิดโปรแกรมก็ได้ แต่โปรแกรมจะทำการค้นหาแผ่น ก่อนที่จะใช้งานต่อได้)
1. เมื่อเราเปิดโปรแกรมขี้นมาใหม่ ให้เราคลิกที่ปุ่ม "ยกเลิก" ไปก่อน


2. เมื่อเราเข้ามายังหน้าหลักของโปรแกรม Nero ให้เรามาทำการเปลี่ยนไดว์เป็น Image Recorder ก่อน ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นตัวที่กำหนดว่าเราจะได้ Image ไฟล์ หรือจะเขียนลงแผ่นซีดีเลย


3. คลิกที่เมนู "ไฟล์" -> "สร้าง" หรือ กด Ctrl+N


4. ในที่นี้เราจะทำการก๊อปปี้ทั้งแผ่น ดังนั้นจึงเลือก "สำเนา CD"
5. ถ้าเรามีเครื่องอ่านซีดีมากกว่า 1 เครื่อง เราสามารถเลือกไดว์ได้โดยคลิกที่แท๊ป "คัดลอกตัวเลือก" แต่ถ้าเรามีแค่ไดว์เดียว ก็ไม่จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนไดว์
6. เสร็จแล้วก็คลิกปุ่ม "คัดลอก" ได้เลย


7. โปรแกรมจะให้เราตั้งชื่อ และเลือกว่าจะเก็บไฟล์ไว้ที่ไหน ในที่นี้ตั้งชื่อว่า FFVII-install.nrg โดยเก็บไว้ที่ โฟลเดอร์ Nero เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่ม Save เพื่อเริ่มบันทึกเป็น Image ไฟล์


8. โปรแกรมกำลังอ่านข้อมูลในแผ่น และสร้างไฟล์


9. เมื่อโปรแกรมทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีหน้าต่างแสดงขึ้นมาให้เราทราบ ให้เราคลิกที่ปุ่ม "ตกลง"

2. ใช้โปรแกรมจำลองแผ่นเปิดไฟล์นั้น เช่น โปรแกรมDaemon lite
 

Daemon Tools Lite เป็นโปรแกรมที่จะช่วยให้เราสามารถจำลองไดร์ฟ CD/DVD/Blu-Ray ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้งานไฟล์ image แผ่นได้ทันทีโดยไม่ต้องไรท์ลงแผ่นจริง โปรแกรมสามารถใช้งานกับไฟล์ image หลายนามสกุล เช่น ISO, NRG, BIN, CUE เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถใช้สร้างไฟล์ image จากแผ่นหรือจากไฟล์ในเครื่องก็ได้ ทำให้เราสามารถสำรองไฟล์สำคัญในเครื่องหรือแผ่นสุดโปรดได้อย่างง่ายดาย ในเวอร์ชั่นใหม่ได้มีการรองรับไฟล์นามสกุล APE และเพิ่มความสามารถในการลงโปรแกรมแบบ portable พร้อมทั้งการรองรับมาตรฐาน SPTD 1.78 ซึ่งทำให้สามารถใช้งานร่วมกับแผ่นที่ใช้มาตรฐานนี้ได้
ดาวน์โหลดฟรีที่
http://www.downloaddd.com/cd-and-dvd-tools/1888-daemon-tools-lite-4.41.3.html
ดูตัวอย่างการใช้งาน
http://www.ov3rsky.com/viewtopic.php?id=1882

ของฟรีบนระบบเครือข่าย ของดีที่หลายคนมองข้าม

คอลัมน์นี้ไม่เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ถ้าท่านเก่งอยู่แล้ว กรุณาอย่าอ่านต่อ เดี๋ยวจะว่าเอาเรื่องพื้นๆมาคุย ก็ผมชอบอะไรที่มันไม่ยุ่งยากนี่ครับ....
หลายท่านคงใช้ระบบเครือข่ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ อันเนื่องมาจากการใช้งานดังกล่าว แน่นอนว่าระบบนี้มีทั้งประโยชน์และโทษ วันนี้อยากคุยในส่วนที่เป็นประโยชน์ หลายเรื่องก็ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าคุณรู้จักเครื่องมือค้นหายอดนิยมที่ชื่อว่า กูเกิล ที่คนไทยเรียกเขาว่า อาจารย์กู อากู๋ แล้วละก้อ ลองมาดูว่าคุณใช้งานได้คุ้มค่าแล้วหรือยัง อย่างเช่น แปลภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไร ก็ใช้เครื่องมือ แปลภาษาช่วยได้ โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม จะหารูปสวยๆ แผนที่ ก็ทำได้ง่ายๆ แค่คลิกเมนูด้านบน(จอมอนิเตอร์)
เว็บ
รูปภาพ แผนที่ แปลภาษา กูรู Scholar Mail เพิ่มเติม
                                                                                                    
แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไร เช่น กูรู ที่ถามได้ทุกเรื่องครับ แต่คำตอบ บางทีไม่ใช่กูรูตอบ แต่เป็นกูมั่วเสียมากกว่า
วันนี้ผมขอแนะนำเครื่องมือที่มีประโยชน์มากๆ ต่อใครหลายๆคน หลายๆหน่วยงาน ที่อยากมีเว็บไซต์ และ บล็อก ไว้ใช้แบบฟรีๆ ไม่มีหมดอายุ จนกว่ากูเกิลจะไม่มีให้ใช้แล้วโน่นแหละครับ
                                                                                            
ก่อนอื่นต้องมี เมลล์แอดเดรส ก่อนนะครับ จะhotmail yahoo ก็ได้ ถ้ายังไม่มีก็นี่เลย แนะนำ gmail  ถ้ามีแล้วก็ใช้สมัครเขียนเวบไซต์ และ บล็อก ได้เลยครับ
                                                                                   
                             คลิกที่เมนู  เพิ่มเติมครับ..............
แล้วเลือก ไซต์ หรือ บล็อก ตามที่อยากได้ครับ
                                                     
จากนั้นสมัครสร้างเว็บไซต์ที่
                                                                  
หรือสมัครสร้างบล็อกที่
แล้วคุณก็จะได้สร้างเว็บไซต์ และบล็อก ฟรีไว้ใช้ง่ายๆ ไม่มีหมดอายุด้วยนะ
                                                                              
ตัวอย่างเว็บไซต์ โรงเรียนที่ผมเขียนเองครับ
                                                     
ตัวอย่างบล็อก
                                                                                                 
ควรมีทั้งสองอย่างครับ ในส่วนของบล็อกนั้น ผมว่าง่ายกว่าบล็อก gotoknow อีก
ถ้าเราอยากเก็บภาพและข้อความ จะทำเป็นบทความ บันทึกอะไรก็ได้ สำหรับผม
มีประโยชน์ตรงเก็บภาพครับ  ไม่ต้องกลัวหาย ไม่ต้องมีแฟลชไดรฟ์ แค่เข้าเน็ตได้
ก็สบายแล้วครับ
                                                                            
ถ้ามีคนสนใจวิธีเขียนเว็บไซต์และบล็อก ผมพอช่วยได้ครับ ทำเองก็ไม่ยาก
ถ้ามีหน่วยงานที่ไม่ใช้เพื่อการค้า ยินดีแนะนำให้ฟรี แต่ตอนนี้ช่วยออกค่าเรือ
หรือเอาเรือมารับผมด้วยละกันครับ
                                                                                         
ปล.
1. เวบฟรีที่อื่นก็มีอีกหลายที่นะครับ ตัวอย่างเช่น
อันนี้ผมก็ว่าง่าย สะดวก ประหยัดดีครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณา)
                                                                                      
2. เครื่องมืออื่นๆ ถ้ามีคนสนใจมากๆ(เกิน1,000คน) จะนำเสนอใหม่ครับ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำพูดของ ขงเบ้ง


ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะ ตน"

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดาใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต
(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)

เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
(เพราะสุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่ายๆ)

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น
แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

ผมคิดอย่างนี้


ผมไม่กลัวว่าจะทำงานมากกว่าคนอื่น ไม่กลัวว่าจะทำงานเกินหน้าที่  เกินเวลา ไม่อาย ไม่ท้อ ถ้าใครจะว่าทำงานแบบนี้ไม่มีวันก้าวหน้า ไม่มีใครรู้  ไม่มีใครเห็น ตรงเกินไป ซื่อเกินเหตุ ฯลฯ เพราะผมถือว่าผมเป็นข้าของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นข้าราชการ แต่ไม่ได้เป็นข้าของคนอื่น และผมรักงานที่ผมทำ 

คนที่ทำงานไม่เต็มที่ ไม่เต็มเวลา คนทำงานเอาหน้า ไม่คุ้มค่าเงินเดือนต่างหากที่ควรละอาย

แต่....  ถ้ามีใครพูด จากความจริงว่า  เป็นครูได้ยังไงสอนเด็กไม่รู้เรื่อง  สอนไม่เป็น นักเรียนที่สอนมาไม่มีคุณภาพ  บริหารงานโรงเรียนมาหลายปีไม่มีอะไรดีขึ้น  ... อย่างนี้ผมอายครับ

*************************************************************************

นักเรียนที่ใครๆว่าโง่ เซ่อ ทั้งหลายนั้นแหละที่ทำให้ครูมีคุณค่า ควรแก่การยกย่องและกราบไหว้

เด็กๆเหล่านี้แหละที่ต่อไปจะเป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นหมอ เป็นนักร้อง เป็นนักกีฬา เป็นสารพัดอาชีพ  รวมทั้งอาจได้เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ คนปกครองบ้านเมือง ดังนี้แล้ว ครูควรตระหนักถึงความสำคัญของตนเอง ครูควรสร้างให้เขาเป็นคนดี ควรให้เขาได้เรียนรู้อย่างหลากหลาย ครบถ้วนทุกด้าน เพราะเราก็ไม่รู้ได้ว่าอนาคตเขาจะเป็นอะไร  เขาจึงควรได้รับพื้นฐานที่ดีงามไปกับตัว เพื่อให้เจริญงอกงามต่อไปในอนาคต

*************************************************************************

ยิ่งกองทัพเรามีกำลังพลน้อยเพียงไร   ชัยชนะที่ได้มาก็จะยิ่งใหญ่เพียงนั้น  (ภ. ก้านกล้วย)

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ล้วนมาจากสิ่งที่เล็กๆ ทั้งนั้น  (Baby songs)

ในฐานะนักรบ  ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใด  สิ่งสำคัญก็คือความตายของเราได้สร้างอะไรไว้ให้เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังบ้าง   (ภ. ก้านกล้วย)

************************************************************************

กรณีศึกษา บุญพริง และ แม่ปูชนียบุคคล


บุญพริ้งสับสน

นามเธอคือบุญพริ้ง            เป็นเด็กหญิงรูปพริ้งเพรา
ชีวิตแสนเงียบเหงา                    อยู่อย่างเศร้าในหับห้อง
โรงเรียนอยู่สลัม                       มีน้ำครำเป็นบ่อหนอง
ปีก่อนเธอเลี้ยงน้อง                    ปีนี้ต้องเข้าโรงเรียน

บุญพริ้งได้ครูสวย             ขาวเหมือนหมวยสอนอ่านเขียน
แต่ไหงเกลียดนักเรียน                 ทุบตีเฆี่ยนดุจวัวควาย
ไก่ อ่านไม่ออก                      ครูตะคอกแทบขวัญหาย
หวั่นไหวทั้งใจกาย                     ไข่ หายจากความจำ

ครูสอนบุญพริ้งว่า             เจรจาต้องคำขำ
อย่าใช้คำต่ำต่ำ                        เพราะเป็นคำไม่น่าฟัง
แต่ครูชอบก่นด่า                       ว่าอีบ้าหน้าขึงขัง
บุญพริ้งสงสัยจัง                      มีบ่อยครั้งคราวโมโห

ครูเคร่งเรื่องแต่งตัว            เท้าจรดหัวต้องแต่งโก้
เสื้อใครขาดวิ่นโหว่                     ครูจับโชว์จนหน้าชา
แต่ครูชอบสวมใส่                      กระโปรงใหม่ขาดข้างขวา
ขาดลึกตั้งเกือบวา                     เห็นต้นขาขาวผุดผ่อง

ยามนั่งวางขาชิด              แนบสนิทปกปิดช่อง
ครูสั่งให้ทำลอง                        ฝึกจนคล่องทั่วทุกคน
แต่ครูชอบไขว่ห้าง                     นั่งขาถ่างพริ้งสับสน
ครูหญิงตั้งหลายคน                   ไขว่ห้างจนไม่อายใคร

เล็บมือครูสั่งตัด               ฟันต้องขัดให้เงายิ่ง
คำเช้าเฝ้าประวิง                      ใยครูหญิงไว้เล็บยาว
สับสนเสียทุกสิ่ง                       แต่บุญพริ้งอยากเป็นสาว
จะได้ไว้เล็บยาว                       พอกหน้าขาวเหมือนคุณครู


แม่ปู ชนียบุคคล

ครูสอนว่า          บุหรี่                มีโทษมาก       
แต่ที่ปาก                      ครูมี               บุหรี่อยู่
และที่เห็น                    เลาเลา             กระเป๋าครู                  
ซองบุหรี่                    ที่รู้                   ครูเพิ่งซื้อ

ครูสอนว่า          สุรา                  พาเกิดโรค                  
ร่างกายโศก                 โทรมไป            มิใช่หรือ
แต่เช้าเย็น                    เห็นครู              แก้วคู่มือ                     
แถมบางมื้อ                 หนักแท้            แผ่สบาย

ครูสอนฉัน        การพนัน          มันล้างผลาญ             
ทั้งเงินบ้าน                   ไร่นา                พาฉิบหาย
ใครลองแล้ว                 หลงมัน            อันตราย          
แต่ให้ตาย                    เถอะวงไพ่        นั่นไงครู

ครูสอนฉัน        ให้รู้จัก             รักสะอาด       
อย่าทิ้งเศษ                  กระดาษ          หมั่นกวาดถู
รอยเท้าใคร                  ย่ำเดิน             เชิญผินดู        
เป็นรอยอยู่                  ใหม่ใหม่           ครูไม่เช็ด

ครูสอนฉัน         ให้รู้จัก              รักหน้าที่         
งานใดมี                      มอบหมาย       ควรให้เสร็จ
ถึงชั่วโมง                    ไม่เข้าห้อง        ครูส่องเพชร                
ใครจะเม็ด                  ใหญ่กว่าใคร        ให้ฉันรอ

ในสิ่งซึ่ง           ครูห้าม             ปรามว่าชั่ว      
ก็มีอยู่                          ในตัว               ครูหลายข้อ
คำสั่งสอน                    ทุกยาม            งามละออ       
จะเชื่อก็                       แปลกใจ          ใยครูทำ

************************************

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หลุมดำทางการศึกษา รอยบาปที่รอการแก้ไข

เป้าหมาย เขาบอกว่านักเรียนต้องมีคุณภาพ มีผลสัมฤทธิ์สูง โรงเรียนต้องผ่านการรับรองของ สมศ 
นักเรียนต้องเก่ง ต้องดี ต้องมีควาสุข ครูต้อง ........

สิ่งที่เป็นอยู่ทุกปี จนชินชา
ใกล้สิ้นปีงบประมาณ มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม
ผอ ถูกสั่งให้ไปอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน..........
ครู  ถูกสั่งให้ไปอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน ทำงานรายงานข้อมูล ส่งเรื่องด่วนที่สุด ด่วนมากๆ ด่วน ........ และต้องทำผลงานด้วยสิ
นักเรียน อยู่กับเพื่อน เล่นเกม ดูโทรทัศน์  ........
ภาคเรียนต่อไป รร เตรียมรับประเมินสารพัด ติวๆๆๆๆๆๆ

ผลสรุปของหน่วยงานต่างๆ ครูไม่มีคุณภาพ นักเรียนแย่ลง
ทางแก้ไข  มีหลายทาง ทำได้ง่าย แต่ไม่มีใครทำ เพราะคนสั่ง ลูกเขาเรียนในโรงเรียนใหญ่ โรงเรียนดัง มีความพร้อมทุกด้าน บ้างก็ลูกโตแล้ว อยู่เมืองนอก

ผลสรุปของคนอ่านกระทู้นี้   คนเขียนคงเครียดจัดมั้ง จะจริงจังอะไรกันนักหนา รู้จักปลงซะบ้าง จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา มันเป็นปัญหาโลกแตก อย่ามองโลกในแง่ร้ายดีกว่าน่า

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปพ คืออะไร


แบบ ปพ. หรือเรียกเต็มๆ ว่า เอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีทั้งหมด 9 แบบด้วยกัน คือ

แบบ ปพ.1 คือ ระเบียนแสดงผลการเรียน

แบบ ปพ.2 คือ ใบประกาศนียบัตร

แบบ ปพ.3 คือ
 แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา
เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยห้ามทำลาย
เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาของผู้เรียน

– ช่วงชั้นที่ 3และช่วงชั้นที่ 4
โรงเรียนจัดทำ 3 ชุด เก็บไว้ที่โรงเรียน,เขตพื้นที่การศึกษา และสพฐ.
อย่างละ 1 ชุดทั้งนี้สถานศึกษาต้องส่งเอกสารให้เขตพื้นที่การศึกษา 2
ชุดเพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่ง สพฐ.      - สำหรับช่วงชั้นที่ 1 – 2
ทำเพียงชุดเดียวเก็บไว้ที่โรงเรียนเท่านั้น                              
             - กรณีที่กรอกข้อมูลผิด ให้แก้ไขข้อมูลด้วยปากกาสีแดง
พร้อมลงลายมือชื่อผู้อนุมัติด้วยปากกาสีดำ/น้ำเงิน   – ผลการประเมินการอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน ให้ลงผลประเมิน คือ ดีเยี่ยม ดี ผ่านเกณฑ์การประเมิน
        – ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้ลงผลประเมิน คือ
ดีเยี่ยม ดี ผ่านเกณฑ์การประเมิน              - ช่องกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ให้ลงตัวเลขหน่วยที่จัดให้เรียน และหน่วยที่ได้ เช่น 12.0/12.0

ข้อสังเกต การ
ประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน โดยทำการประเมินสะสมหลาย ๆ ครั้ง
แล้วสรุปสุดท้ายของภาค/ปี ซึ่งสามารถบูรณาการกับการประเมินในวิชาอื่นๆ ได้
เช่นบูรณาการกับวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ หรืออาจประเมิน
ต่างหากโดยสร้างแบบประเมินขึ้นใหม่ค่ะ

แบบ ปพ.4 คือ
แบบแสดงผลการแสดงลักษณะอันพึงประสงค์
สถานศึกษาเป็นผู้กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และเกณฑ์ที่กำหนด มี 3 ระดับ
คือ ดีเยี่ยม ดี ผ่านเกณฑ์การประเมิน

แบบ ปพ.5 คือ แบบบันทึกผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน บันทึกผลการเรียนเป็นรายวิชา

แบบ ปพ.6 คือ
แบบรายงานการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนรายบุคคล
บันทึกและรายงานพัฒนาการและผลการเรียนรู้ ให้ผู้ปกครองทราบ
ควรรายงานภาคเรียนละ 1 ครั้ง

แบบ ปพ.7 คือ ใบรับรองผลการศึกษา รับรองผลการเรียนกรณีไม่สำเร็จการศึกษา

แบบ ปพ.8 คือ
ระเบียนสะสม มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนทุกด้าน เป็นประโยชน์กับการแนะแนว
ส่งต่อให้ใช้ตลอด 12
ปี มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนเปลี่ยนแปลงให้บันทึกและลงวันที่กำกับไว้ด้วย

แบบ ปพ.9 คือ
สมุดบันทึกผลการเรียนรู้ ใช้เป็นหลักฐานการศึกษา
ใช้เป็นข้อมูลในการเทียบโอน และใช้เพื่อ
สื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ (จำเป็นมากสำหรับนักเรียนย้ายโรงเรียนเนื่อง
จากต้องนำไปเทียบหน่วยกิต)

เอกสาร ปพ.1 - 3 สถานศึกษาต้องจัดทำตามแบบพิมพ์ที่กระทรวงศึกษากำหนด
เท่านั้น โดย
ผู้อำนวยเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้สั่งซื้อให้สถานศึกษาทุกแห่งที่เขต
พื้นที่การศึกษารับผิดชอบ
และจัดทำบัญชีรับ-จ่ายแบบพิมพ์ไว้เป็นหลักฐาน  กรณีชำรุด สูญหาย
ในส่วนกลางให้รายงาน เลขาสพฐ. ส่วนภูมิภาคให้รายงานผู้ว่าราชการจังหวัด